25520623

Making PowerPoint Slides
การนำเสนอด้วยภาพนิ่ง

Tips to be Covered
เทคนิคในการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ


1.Outlines การร่าง
2.Slide Structure ส่วนประกอบภาพนิ่ง
3.Fonts แบบตัวอักษร
4.Colour สีของตัวอักษร
5.Background ภาพพื้นหลัง
6.Graphs ตาราง
7.Spelling and Grammar การสะกดคำและไวยากรณ์
8.Conclusions ส่วนสุดท้ายของการนำเสนอ
9.Questions คำถาม

1.Outlines การร่าง

Make your 1st or 2nd slide an outline of your presentation
ร่างภาพนิ่งที่จะใช้นำเสนอ 1-2 แบบก่อนทำของจริง

Follow the order of your outline for the rest of the presentation
สร้างภาพนิ่งตามแบบที่ร่างและใส่รายละเอียดลงไป

Only place main points on the outline slide
กำหนดหัวข้อสำคัญก่อนจะร่าง

2.Slide Structure ส่วนประกอบภาพนิ่ง

Use 1-2 slides per minute of your presentation
นำเสนอ 1-2 สไลด์ ต่อนาที

Write in point form, not complete sentences
เขียนในรูปแบบหัวข้อ

Include 4-5 points per slide
มี 4-5 หัวข้อต่อสไลด์

Avoid wordiness: use key words and phrases only
หลีกเลี่ยงการใช้คำฟุ่มเฟือย ใช้คำที่สำคัญและจำเป็นเท่านั้น

This page contains too many words for a presentation slide. It is not written in point form, making it difficult both for your audience to read and for you to present each point. Although there are exactly the same number of points on this slide as the previous slide, it looks much more complicated. In short, your audience will spend too much time trying to read this paragraph instead of listening to you.
ในหนึ่งหน้าไม่ควรใส่เนื้อหาหัวข้อการนำเสนอมากเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ฟังจดตามไม่ทัน และยากต่อการอ่านของผู้ชม ถึงแม้ว่าจะถูกต้องตามเนื้อหา แต่ก็ทำให้ยากที่จะเข้าใจในระยะเวลาที่สั้น ผู้ฟังของคุณจะใช้เวลาเยอะในการพยายามที่จะอ่านย่อหน้าแทนที่จะฟังคุณนำเสนอ

Show one point at a time
ควรนำเสนอทีละหัวข้อเพราะ

Will help audience concentrate on what you are saying
จะช่วยให้ผู้ชมมีความสนใจที่นำเสนอมากขึ้น

Will prevent audience from reading ahead
ป้องกันผู้ชมอ่านล่วงหน้า

Will help you keep your presentation focused
ช่วยให้ผู้นำเสนออธิบายได้ตรงกับหัวข้อนั้นๆ

Do not use distracting animation
หลีกเลี่ยงการใช้ภาพเคลื่อนไหว

Be consistent with the animation that you use
ถ้าจะใช้ควรใช้ภาพเคลื่อนไหวที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นำเสนอ

3.Fonts แบบตัวอักษร

Use at least an 18-point font
ใช้ขนาดตัวอักษร 18 ขึ้นไป

Use different size fonts for main points and secondary points
ใช้ขนาดตัวอักษรที่แตกต่างกันระหว่างหัวข้อหลักและรอง

Use a standard font like Times New Roman or Arial
ใช้แบบอักษรพื้นฐาน เช่น Times New Roman หรือ Arial

If you use a small font, your audience won’t be able to read what you have written
ถ้าใช้ตัวอักษรที่เล็ก ผู้ฟังการนำเสนอจะไม่สามารถอ่านได้

CAPITALIZE ONLY WHEN NECESSARY. IT IS DIFFICULT TO READ
ใช้ขนาดตัวอักษรใหญ่เมื่อต้องการเน้นข้อความเท่านั้น

Don’t use a complicated font
ไม่ควรใช้แบบอักษรที่เข้าใจยาก

4.Colour สีของตัวอักษร

Use a colour of font that contrasts sharply with the background
ใช้สีตัวอักษรให้แตกต่างกับภาพพื้นหลัง

Use colour to reinforce the logic of your structure
ใช้สีกำหนดความสำคัญของตัวอักษร

Use colour to emphasize a point
ใช้สีเน้นข้อความสำคัญ

Using a font colour that does not contrast with the background colour is hard to read
อย่าใช้สีตัวอักษรที่มีความคล้ายคลึงกับภาพพื้นหลัง

Using colour for decoration is distracting and annoying.
อย่าใช้สีตัวอักษรเพื่อตกแต่งภาพนิ่งเพราะจะทำให้ผู้ชมเกิดความรำคาญ

Using a different colour for each point is unnecessary
ใช้สีตัวอักษรที่แตกต่างกันเกินความจำเป็น

5.Background ภาพพื้นหลัง

Use backgrounds such as this one that are attractive but simple
เลือกใช้ภาพพื้นหลังที่ดูเรียบง่ายสบายตา

Use backgrounds which are light
เลือกใช้ภาพพื้นหลังที่โทนสีมีความสว่าง

Use the same background consistently throughout your presentation
ควรใช้ภาพพื้นหลังแบบเดียวกันหมดในการนำเสนอ

Avoid backgrounds that are distracting or difficult to read from
หลีกเลี่ยงภาพพื้นหลังที่ทำให้ยากต่อการอ่าน

6.Graphs ตาราง

Use graphs rather than just charts and words
ควรใช้ตารางในการนำเสนอเพราะเข้าใจง่าย

Always title your graphs
ใส่หัวข้อทุกครั้งเมื่อนำเสนอตาราง

Minor gridlines are unnecessary
ตารางเล็กเกินไป

Font is too small
ตัวอักษรเล็กเกินไป

Colours are illogical
การใช้สีเกินความจำเป็น

Title is missing
ไม่มีหัวข้อของตาราง

Shading is distracting
การลงสีตารางที่คล้ายกัน

7.Spelling and Grammar อ่านสะกดคำและไวยากรณ์

Proof your slides
ตรวจสอบภาพนิ่งเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องก่อนนำเสนอ

If English is not your first language, please have someone else check your presentation!
ถ้าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่คุณถนัดให้หาผู้อื่นมาช่วยตรวจภาพนิ่ง

8.Conclusion ส่วนสุดท้ายของการนำเสนอ

Use a conclusion slide to:
ใช้ส่วนสุดท้ายของภาพนิ่งเพื่อ

-Summarize the main points of your presentation
–สรุปหัวข้อสำคัญของการนำเสนอ

–Suggest future avenues of research
–แนะนำแนวทางที่จะพัฒนาขึ้นไปของเรื่องที่นำเสนอ

9.Questions? คำถาม?

End your presentation with a simple question slide to:
จบการนำเสนอด้วยคำถามง่ายๆ

Invite your audience to ask questions
เชิญผู้ชมการนำเสนอถามคำถามที่สงสัย

Provide a visual aid during question period
ควรหาผู้ช่วยในระหว่างการตอบคำถาม

Avoid ending a presentation abruptly
หลีกเลี่ยงการจบการนำเสนอแบบทันที

โหลดเอกสารต้นฉบัับ

25520621

ตัวอย่างแบบประเมินที่ใช้ในงานวิจัย

ตัวอย่างแบบประเมินที่ใช้ในงานวิจัย คลิก

การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ

คำนิยาม
แหล่งข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ และ ใหญ่ที่สุดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแทบทุกวินาที และมีข้อมูลหลากหลายประเภท ดังนั้นในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก จึงได้มีการจัดทำเครื่องมือหรือเว็บไซต์ที่อำนวยความสะดวกในการสืบค้นข้อมูลและข่าวสารให้แก่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต จากแหล่งข้อมูลเว็บไซต์ต่างๆ ขึ้นมา

วัตถุประสงค์ในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ
วัตถุประสงค์ในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ มีมากมาย เช่น
1. เพื่อหาข้อมูลไปทำรายงาน
2. เพื่ออ่านข่าวสารสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องการ
3. เพื่อความบันเทิง

ความหมายของ search engine
Search Engine คือ เครื่องมือการค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตก็ได้ โดยกรอก ข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือ Keyword (คีย์เวิร์ด) เข้าไปที่ช่อง Search Box แล้วกด Enter แค่นี้ข้อมูลที่เราค้นหาก็จะถูกแสดงออกมาอย่างมากมาย เพื่อให้เราเลือกข้อมูลตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด โดยลักษณะการแสดงผลของ Search Engine นั้นจะทำการแสดงผลแบบ เรียงอันดับ Search Results ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา

ประเภทของ search engine
1. แบบอาศัยการเก็บข้อมูลเป็นหลัก (Crawler-Based Search Engine)
หลักการนี้เป็นการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Crawler-Based Search Engine เป็นเครื่องมือที่ทำการบันทึกและเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งเป็นประเภท Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันซึ่งการทำงานประเภทนี้ จะใช้โปรแกรมตัวเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Web Crawler หรือ Spider หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Search Engine Robots หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า บอท ในภาษาไทย www คือเครือข่ายใยแมงมุม ตัวโปรแกรมเล็ก ๆ ตัวนี้ก็คือแมงมุมนั่นเอง โดยเจ้าแมงมุมตัวนี้จะทำการไต่ไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลกอินเตอร์เน็ต โดยอาศัยไต่ไปตาม URL ต่าง ๆ ที่มีการเชื่อมโยงอยู่ในแต่ละเพจ แล้วทำการ Spider กวาดข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ (ขึ้นอยู่กับ Search Engine แต่ละที่ว่าต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง) แล้วเก็บลงฐานข้อมูล การใช้โปรแกรมกวาดข้อมูลแบบนี้ จึงทำให้ข้อมูลที่ได้มีความแม่นยำ และสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้เร็วมาก Search Engine ที่เป็นประเภทนี้ เช่น Google Yahoo MSN
2. แบบสารบัญเว็บไซต์ (Web Directory)
Search Engine ที่เป็นแบบนี้มีอยู่หลายเว็บไซต์มาก ๆ ที่ดังที่สุดในเมืองไทย ที่เอ่ยออกไปใครใครคงต้องรู้จัก นั้นก็คือที่สารบัญเว็บของ Sanook.com ซึ่งหลาย ๆ คนคงเคยเข้าไปใช้บริการ หรืออย่างที่ Truehits.com เป็นต้น สิ่งที่เราจะสังเกตเห็นจาก Search Engine ประเภทนี้ก็คือ ลักษณะของการจัดเก็บข้อมูลที่แสดงให้เราเห็นทั้งหมด ว่ามีเว็บอะไรบ้างอยู่ในฐานข้อมูล ซึ่งแตกต่างจากประเภทแรก ที่หากคุณไม่ค้นหาโดยใช้คำค้น หรือ Keyword แล้ว คุณจะมีทางทราบเลยว่ามีเว็บไซต์อะไรอยู่บ้าง และมีเว็บอยู่เท่าไหร่ แบบสารบัญเว็บไซต์ จะแสดงข้อมูลที่รวบรวมเว็บไซต์ที่มีทั้งหมดในฐานข้อมูล และจะแบ่งเป็นหมวดหมู่ และอาจจะมีหมวดหมู่ย่อย ซึ่งผู้ค้นหาข้อมูลสามารถคลิกเข้าไปดูได้ หลักการทำงานแบบนี้ จะอาศัยการเพิ่มข้อมูลจากเจ้าของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ต้องการประชาสัมพันธ์เว็บ หรืออาจใช้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลส่วน Search Engine เป็นผู้หาข้อมูลเว็บไซต์มาเพิ่มในฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลในส่วนของสารบัญเว็บไซต์จะเน้นในด้านความถูกต้องของฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลเว็บไซต์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาจะถูกตรวจสอบและแก้ไขจากผู้ดูแล
3. แบบอ้างอิงในคำสั่ง Meta Tag (Meta Search Engine )
Search Engine ประเภทนี้จะอาศัยข้อมูลใน Meta tag ซึ่งเป็นส่วนของข้อมูลที่อยู่ในแท็ก HEAD ของภาษา HTML ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่ให้ข้อมูลกับ Search Engine Robots
Search Engine ประเภทนี้ไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง แต่จะอาศัยข้อมูลจาก Search Engine Index Server ของที่อื่น ๆ ซึ่งข้อมูลจะมาจาก Server หลาย ๆ ที่ ดังนั้น จึงมักได้ผลลัพธ์จากการค้นหาที่ไม่แม่นยำ ตัวอย่างเว็บที่ใช้งานประเภทนี้ metacrawler.com

เทคนิคการสืบค้นข้อมูล
เพื่อประหยัดเวลาในการสืบค้น ได้ข้อมูลในปริมาณไม่มากเกินไป และได้ผลการสืบค้นที่ตรงตามประสงค์ของผู้สืบค้น สามารถใช้เทคนิคเหล่านี้ ได้แก่

1. เลือก Search Engine ที่เหมาะสม

2. เลือกเว็บไซต์ที่อยู่ใกล้และอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม

3. การเลือกใช้คำสำคัญ (Keyword) หรือหัวเรื่อง(Subject) ที่ตรงกับเรื่องที่ต้องการ

4. กำหนดขอบเขตของคำค้น โดยใช้ตัวเชื่อมบูลีน(Boolean Operators) เช่น AND OR NOT
NEAR BEFORE เป็นต้น หรือการค้นวลี(Phrase Searching) การตัดคำ หรือการใช้คำเหมือน ดังต่อไปนี้

4.1 Boolean Operators
- AND หรือ เครื่องหมาย + ใช้เมื่อต้องการให้ค้นเอกสารที่มีคำทั้งสองคำปรากฏ เช่น
ค้นหาคำว่า Research AND Thailand ข้อมูลที่ได้จะมีเฉพาะคำว่า Research และ Thailand อยู่ในเอกสาร
- OR ใช้เมื่อต้องการค้นหน้าเอกสารที่มีคำใดคำหนึ่งปรากฏ เช่น Research OR
Thailand ข้อมูลที่ได้จะมีคำใดคำหนึ่งหรือมีทั้งสองคำปรากฏอยู่ในเอกสาร
- NOT หรือ เครื่องหมาย – ใช้เมื่อต้องการตัดคำที่ไม่ต้องการให้ค้นออก (คำหลัง NOT
หรือ เครื่องหมาย -) เช่น Research NOT Thailand ข้อมูลที่ได้จะมีคำว่า Research แต่จะไม่มีคำว่า
Thailand อยู่ในเอกสาร
- NEAR ใช้เมื่อต้องการให้คำที่กำหนดอยู่ห่างจากกันไม่เกิน 10 คำ ในประโยคเดียวกัน
หรือใกล้เคียงกัน (อยู่ด้านหน้าหรือหลังก็ได้) เช่น Research NEAR Thailand ข้อมูลที่ได้จะมีคำว่า Research และ Thailand ที่ห่างกันไม่เกิน 10 คำ ตัวอย่างเช่น Research on the Cost of Transportation in Thailand
- BEFORE ใช้เมื่อต้องการกำหนดให้คำแรกปรากฏอยู่ข้างหน้าคำหลังในระยะห่างไม่เกิน 8 คำ เช่น Research BEFORE Thailand
- AFTER ใช้เมื่อต้องการกำหนดให้คำแรกปรากฏอยู่ข้างหลังคำหลังในระยะห่างไม่เกิน 8 คำ เช่น Research AFTER Thailand
- (parentheses) ใช้เมื่อต้องการกำหนดให้ทำตามคำสั่งภายในวงเล็บก่อนคำสั่งภายนอก เช่น (Research OR Quantitative) and Thailand

4.2 การค้นวลี (Phrase searching)
เป็นการใช้เครื่องหมายอัญประกาศ (“ ”) เมื่อต้องการกำหนดให้ค้นเฉพาะหน้าเอกสารที่มีการเรียงลำดับคำตามที่กำหนดเท่านั้น เช่น “Methodology Research”

4.3 การตัดคำ (Word stemming / Truncation)
เป็นการใช้เครื่องหมาย asterisk (*) ตามท้ายคำ 3 คำขึ้นไป เพื่อค้นหาคำที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรที่กำหนด เช่น Research*

4.4 คำพ้องความหมาย (Synonym)
เป็นการใช้คำเหมือนที่มีความหมายเดียวกันหรือใกล้เคียงกันเพื่อช่วยให้ค้นเรื่องที่ครอบคลุม เช่น Ocean Sea Marine

4.5 เขตข้อมูลเพื่อการค้น (Field Searching)
เป็นการกำหนดเขตข้อมูลเพื่อการค้น เช่น ชนิดของข้อมูล หรือที่อยู่ของข้อมูล เป็นต้น
เช่น text: “green tea” url: NASA

4.6 ตัวเล็กตัวใหญ่ถือว่าต่างกัน (Case sensitive)
เป็นการใช้ตัวอักษรใหญ่กับตัวเล็กในความหมายที่แตกต่างกัน เช่นใช้ตัวอักษรใหญ่ขึ้นต้นชื่อเฉพาะ เช่น George W. Bush

4.7 ภาษาธรรมชาติ (Natural Language)
เป็นการสืบค้นจากคำถามที่เป็นภาษาธรรมชาติ เช่น ใช้คำถามภาษาอังกฤษง่ายๆ ที่ต้องการให้ Search Engine หาคำตอบให้ เช่น What is Research?

การใช้งาน google
Google เป็นเว็บไซต์ฐานข้อมูลที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลก ในอดีตเป็นบริษัทที่ดำเนินการด้านฐานข้มูลเพื่อให้บริการแก่เว็บไซต์ค้นหา อื่นๆ ปัจจุบันได้เปิดเว็บไซต์ค้นหาเอง ด้วยฐานข้มูลมากกว่าสามพันล้านเว็บไซต์และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ที่เหนือกว่าผู้ให้บริการรายอื่นๆ คือ เป็นเว็บไซต์ค้นหาที่สนับสนุนภาษาต่างๆ มากกว่า 80 ภาษาทั่วโลก (รวมทั้งภาษาไทย) และมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้บริการในส่วนต่างๆ ของโลกมากถึง 36 ประเทศ

เมื่อเราเปิดบราวเซอร์และพิมพ์ URL : www.google.com ลงไป ด้วยระบบตรวจสอบภาษาของเว็บไซต์ Google เมื่อพบว่าเราใช้บราวเซอร์บนวินโดว์ภาษาไทยระบบจะสวิทช์เป้าหมายมายัง www.google.co.th โดยอัตโนมัติดังภาพข้างบน
บริการค้นหาของ Google แยกฐานข้อมูลออกเป็น 4 หมวด (ในแต่ละหมวดมีการค้นหาแบบพิเศษเพิ่มเติมด้วย) คือ

1. เว็บ : เป็นการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก
2. รูปภาพ : เป็นการค้นหารูปภาพหลากหลายฟอร์แมตจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก
3. กลุ่มข่าว : เป็นการค้นหาเรื่องราวที่น่าสนใจจากกลุ่มข่าวต่างๆ
4. สารบบเว็บ : การค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่แยกออกเป็นหมวดหมู่

การค้นหาเว็บแบบเจาะลึก



การค้น หาแบบเจาะลึกเกี่ยวกับเว็บ สามารถระบุรายละเอียดต่างๆ ได้ เพื่อให้สามารถจำกัดวงในการค้นหาให้แคบเข้า เช่น การกำหนดคำหลักที่ต้องการ คำที่คล้ายคลึงและคำที่ไม่ต้องการให้ปรากฏอยู่ด้วย กำหนดเฉพาะภาษา ชนิดของไฟล์ (เอกสารเว็บ(html) เอกสารเวิร์ด (word)) ช่วงระยะเวลาที่เอกสารนั้นสร้างขึ้น จากโดเมนเว็บไซต์ชื่ออะไร เป็นต้น

การค้นหาภาพระดับสูง

การ ค้นหาภาพเพื่อให้สามารถค้นหาได้รวดเร็วควรใช้การค้นหาระดับสูง เพราะสามารถระบุชื่อหรือบางส่วนของชื่อ ชนิดรูปภาพเป็นไฟล์ฟอร์แมตใด (JPG, GIF, PNG) ชนิดของสี (Black/White, Grayscale, Color) ชื่อของโดเมนที่คาดว่าน่าจะมีภาพนั้นๆ